ยินดีต้อนรับสู่บล็อกของ Nite

status: กำลังปรับปรุงพัฒนาเว็บไซ

รีวิว benz cls 250 cdi

ในที่สุดรีวิวนี้ก็ถึงคราวได้คลอดเสียที หลังจากผลัดมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ขอบคุณมิตรรักแฟนเพลงที่อดทนรอนะครับ.....


ขอเริ่มด้วยความเป็นมาของ CLS กันก่อนดีกว่า

หลัง จากที่ Platform E-Class หลังจากรุ่น W124 หยุดทำรถ Coupe ในปี 1995 และเปลี่ยนไปใช้ Platform C-Class เอามาทำ Coupe ในนาม CLK แทน E-Class ก็ไม่ได้มีการเอา Platform นี้มาทำรถ Coupe อีกใน W210 (บอดี้ถัดจาก W124)



ทาง Mercedes จึงอยากทำรถที่มี Concept ตามนี้  

"Strong, emotive charisma" of a coupe with the "Comfort and practicality" of a saloon.


การออกแบบจึงตกเป็นของ Michael Frank ผู้ออกแบบ CLK, C Sportcoupe รวมถึง Maybach 57 & 62


สำหรับ CLS ตัวแรกนั้นมาใน บอดีโค๊ด W219 ที่เอา Platform E-Class W211 มายืดอีก 6 นิ้ว โดยเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปี 2004 และสิ้นสุดการจำหน่ายในปี 2010 โดยมี Version ต่างๆดังนี้

- CLS 320 CDI V6 Diesel
- CLS 350 CDI V6 Diesel
- CLS 350 V6 Gasoline
- CLS 350 CGI V6 Gasoline
- CLS 500 V8 Gasoline
- CLS 550 V8 Gasoline
- CLS 55 AMG V8 Gasoline
- CLS 63 AMG V8 Gasoline



เมื่อครบอายุของ CLS W219 ในปี 2010 Mercedes ก็ไม่รอช้า เข็น CLS ตัวใหม่ออกมาขายในเดือนสิงหาคม 2010 โดยใช้ Code name ว่า

"W218" (ก็งงว่าทำไมลดลงหว่าเพราะของเดิมมัน 219 นี่นา)


สำหรับ CLS W218 นั้นเป็นครั้งแรกที่ Mercedes จับเครื่อง 4 สูบ Diesel มายัดลงในรถที่อยู่ใน Upper Class แต่สำหรับเบนซินนั้นจะเริ่มตั้งแต่ V6 ไปจนถึง V8 อาจจะเป็นด้วย 4 สูบ Diesel ตัวใหม่นี้ให้แรงบิดสูงมากระดับ 500 Nm หรือ 370 lbft ซึ่งเพียงพอต่อการฉุดลากรถที่น้ำหนักมากขนาดนี้ได้ โดยเครื่องยนต์ทั้งหมดของ CLS W218 มีดังต่อไปนี้

Diesel
- CLS 250 CDI Blue Efficiency 2,143 cc 4 สูบเรียง 204PS 500Nm Torque 0-100 km/hr ใน 7 วินาที
- CLS 350 CDI Blue Efficiency 2,987 cc V6 265PS 620Nm Torque 0-100 km/hr ใน 6.2 วินาที
- CLS 350 CDI 4MATIC Blue Efficiency เหมือน CDI แต่ขับเคลื่อน 4 ล้อ

Gasoline
- CLS 350 CGI 3,498 cc V6 301PS 370 Nm Torque 0-100 km/hr ใน 6 วินาที
- CLS 500 CGI 4,663 cc V8 408PS 600 Nm Torque 0-100 km/hr ใน 5.1 วินาที
- CLS 500 CGI 4MATIC เหมือน 500 แต่ขับ 4 0-100 km/hr ใน 5 วินาที
- CLS 63 AMG 5,461 cc V8 bi-turbo 525PS 700 Nm Torque 0-100 km/hr ใน 4.4 วินาที
- CLS 63 AMG with Performance Package เหมือน CLS 63 แต่ 549PS 800 Nm Torque 0-100 km/hr ใน 4.3 วินาที  


สำหรับ CLS W218 นั้นใช้ Platform จาก E-Class W212 แต่เพิ่มความยาวอีก 70 mm ฐานล้อด้านหน้ากว้างขึ้น 10mm ส่วนด้านหลังกว้างขึ้นอีก 20mm ความสูงลดลง 55mm

Spec โดยรวมเป็นดังนี้
Wheelbase - 2,875 mm
Length - 4,940 mm (เกือบๆ 5 เมตร)
Width - 1,882 mm
Height - 1,417 mm


ผมจะขอเริ่ม Review จากภายนอกก่อนแล้วกันนะครับ


รถ คันนี้เป็น CLS 250 CDI สีขาว Diamond White หรือ สีขาวมุก ตามภาษาไทย คันนี้มาใน AMG Sport Package ซึ่งจะมีสิ่งที่แตกต่างจากตัวธรรมดาคือ

1. ชุดแต่ง AMG รอบคัน
2. ช่วงล่าง AMG ซึ่งจะลดความสูงลง 10 mm
3. พรมภายใน AMG
4. พวงมาลัย 3ก้านทำจากหนัง Nappa แบบท้ายตัด พร้อม Aluminum Paddle shift
5. ล้อ AMG 18" หรือ 19" คันนี้ 19"
6. ปลายท่อ 2 ฝั่ง
7. เกียร์เพิ่มโหมด M สำหรับ Shift เกียร์เอง
8. กระจังหน้าแบบขีดเดียว ประมาณว่าเป็น Trend Sport ตามแบบ SLS Super Car ประตูปีกนกนางนวล
9. แป้นคันเร่ง เบรค เบรคมือ (เท้า) เป็นอลูมิเนียม

ตรงกลางกระจังจะเป็นตราเบนซ์ ซึ่งถ้าเป็นรุ่นหลังๆจะไม่ค่อยเห็น "ดาวตั้ง" บนฝากระโปรงแล้ว ประมาณว่า รุ่นไหน Target ให้เป็นแนว Sport ตราเบนซ์จะมาอยู่ที่กระจังแทน


สำหรับ คันนี้ ไม่มี Option Distronic+ & Presafe brake ซึ่งจะคอยเบรคให้เองยามฉุกเฉิน กระจังก็จะเป็นแบบทั่วไปคือมีรูระบายอากาศเข้าเครื่อง
สำหรับคันที่มีระบบ Distronic+ & Presafe brake กระจังจะเป็นดังรูปนี้ สังเกตุว่า ตราเบนซ์จะเป็นเหมือนกระจกตัน ไม่ได้เป็นช่องแบบคันของผม


ฉะนั้น เวลาเซลล์บอก "พี่ครับ คันนี้ Full Option เลยครับ" ไปดูก่อนเลยว่า ตราเบนซ์เป็นกระจกตันหรือไม่ เพราะเซลล์แม่มแค่มี AMG Package แม่มก็โม้ว่า Full Option แล้ว
มาดูไฟหน้ากันบ้าง CLS จะมีไฟหน้า 2 แบบ คือ

1. แบบธรรมดา Bi-Xenon จะเป็นมาตรฐาน

2. แบบ Intelligence Light จะรวม LED กับ Bi-Xenon ไว้ด้วยกัน โดยจะมี LED ทั้งหมด 71 ดวง โดยไฟจะเลี้ยวตามพวงมาลัย หรือเวลาจะจอดถ้าเปิดไฟเลี้ยวด้านไหน ไฟในโคมจะเพิ่มความสว่างด้านนั้นในมุมที่กว้างขึ้น

นอกจากนั้นถ้า เปิด Mode Intelligence light เวลาขับเข้าที่มืดสนิด มันจะเปิดไฟสูงเอง หรือ เวลาจะเลี้ยวมันจะส่องไปด้านนั้นก่อนขณะเลี้ยวเพือเพิ่มมุมมองด้านนั้น

สำหรับ Xenon จะมีอุณหภูมิสีที่ 5500 K ส่วน LED นั้นมีอุณหภูมิสี 6500 K

สำหรับไฟรุ่นธรรมดาจะเป็นแบบนี้ Projector 2 ลูก สำหรับไฟสูงและไฟต่ำ
LED Day Time Running Light ตามสมัยนิยม จะสว่างมากตอนกลางวัน และจะลดความสว่างลงเวลาไฟต่ำทำงาน (อัตโนมัติ)
ไฟเหมือนจะแสบตาแต่จริงๆแล้วไม่แสบ ตาเลย ถ้าไม่นั่งระดับเดียวกับไฟแล้วเอาตาไปจ่อ แถม Cut-off คมกริบ ไม่มีฟุ้งไปข้างบน ข้างๆ ให้คนอื่นสรรเสริญบุพการี


สังเกตดูจะพบ ว่าความสว่างของ Day Time Running Light สว่างน้อยกว่า LED จากโคมไฟหลัก อย่างที่บอกว่ามันจะลดความเข้มของแสงลงหลังจากไฟหลักทำงาน
ข้อเสียของไฟนี้คือ














แพง มากกกกก ข้างละแสนกว่า ที่รู้เพราะเพื่อนผมออกรุ่นเดียวกัน สอยหมาหลังจากออกมาได้ 3 วัน นี่ยังรอของอยู่เลย ประกันร้องจ๊ากเลย ชนเบาๆ แฉลบๆ กันชนด้านที่ชนแหว่ง Day Time Running Light หาย ขายึดโคมไฟร้าว แก้มบุบ ประกัน Quote ค่าซ่อมมา 3 แสนกว่า ทั้งๆที่ไม่ได้ชนหนักถึงหม้อน้ำเลย
เวลาเปิดไฟเลี้ยวจะติดเป็นกลุ่มแบบนี้ ช่วยกันทำงาน เลยไม่รู้ว่าประหยัดไฟกว่าหลอดไส้หลอดเดียวแบบรถทั่วไปหรือเปล่า
ไฟเลี้ยวที่กระจกข้าง ตามสมัยนิยมก็ต้องเป็น LED อีกเหมือนกัน


คือสรุปคันนี้ทั้งคันน่าจะเป็นไฟ LED ครับ
ตรงนี้ถ้าเป็นรุ่นที่มี Night View ก็จะเป็นกล้อง Infrared พอดีรถผมไม่มี เคยไม่รู้เป็นอะไร แต่ก็มีรูเหมือนกล้องอยู่ ข้างๆรูกล้องจะเป็น Rain sensor ครับ


นอกจากกล้อง Infrared แล้ว สำหรับ Option เพิ่มความปลอดภัยจะมีดังนี้

- Active Blind Spot Assist ถ้ามีรถเข้ามาใน Blind Spot แล้วคนขับไม่สนใจจะหลบ รถจะเบรคที่ล้ออีกด้านของรถที่เข้ามาใน Blind Spot เพื่อดึงรถให้พ้นจากการชน

- Active Lane Keeping Assist คือถ้าแถไปทับเส้นทึบ รถจะเบรคอีกด้านของล้อ (ไม่ใช่ด้านเส้นทึบ) และดึงรถกลับมาในเลน พร้อมทั้งสั่นมาที่พวงมาลัยเพื่อเตือนคนขับ แต่ทั้งนี้ระบบจะไม่ทำงานถ้าเปิดไฟเลี้ยว


โดยทั้ง 2 Option นี้ รถผมไม่มี แหะ แหะ เพราะแพงง่ะ เพราะมันจะมาใน Package ราคา 2300 ปอนด์มั๊ง ประมาณ 115,000 บาท ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะจำเป็นสักเท่าไหร่สำหรับผม
มุมมองด้านข้าง หลังคาลาดตามคอนเซปต์ Coupe
ประตูทั้ง 4 บานไร้กรอบ เวลาเปิดประตูกระจกจะหล่นมาหน่อยนึง พอปิดแล้วจะดันขึ้นไปข้างในเพื่อป้องกันเสียงรบกวนเวลาวิ่ง

ปัญหา ที่เจอคือ เวลาติดฟิล์มถ้าเผื่อพื้นที่ด้านล่างไว้น้อยเกินไป โดยถ้าตัดฟิล์มพอดีโดยไม่สอดไปในประตู ก็ได้เปลี่ยนฟิล์มใหม่เพราะจะร่อนแน่ๆ
เอากระจกลงหมดก็ดูสปอร์ตดี
กระจกมองข้างฝั่งคนขับตัดแสง อัตโนมัติ อีกฝั่งเหมือนจะไม่ตัดเพราะเนื้อกระจกฝั่งคนนั่งเหมือนเป็นเนื้อเดียว แต่ฝั่งคนขับเหมือนเป็นสองชั้น
ล้อหน้า AMG 5 ก้าน ขนาด 8.5x19 Offset 34.5 พร้อมยาง Pirelli P-Zero 255/35/19


จานเบรคแบบมีรูระบายพร้อม Caliper รู้สึกจะ 2Pot Floating


สังเกตดีๆจะมีนอตเหมือนรูปดาว เป็นนอตล้อกันขโมย มีล้อละตัวครับ

ชัดๆว่า Diesel ฝาถังน้ำมันจะต้องกดลงไปก่อนมันถึงจะเผยอให้เปิดได้นะครับ
ลมยางแข็งทีเดียวเนื่องจากแก้มยางบาง

แรงดันปกติ 36 ปอนด์หน้าหลัง แต่ผมเติมไว้ 38 เผื่อมีคนนั่งหลัง (ซึ่งไม่ค่อยมี) เป็นลมยางไนโตรเจนครับ
กระจกข้างมีไฟส่องพื้นตอนกดรีโมท จะได้หาที่เปิดประตูเจอ ไม่ต้องคลำเปะปะ
มุมมองด้านท้าย ป้าย CDI บอกว่า รถคันนี้มีเครื่องเล่น CD Inside นะ














ล้อเล่น CDI คือ Common-rail Direct Injection ฉีดตรงเข้ากระบอกสูบกันไปเลย
พอเป็น AMG Sport Package ก็จะมีลิ้นใต้กันชนหลังแบบเงินๆกับปลายท่อคู่ออกด้านหลัง ถ้าตัวธรรมดารูสึกจะไม่มีลิ้นและเป็นสีเดียวกับตัวรถไปเลย และท่องุ้มลงพื้น
กระโปรงหลังใหญ่พอที่จะใส่ถุงกอล์ฟ 2 ถุงสบายๆ
ผนังด้านขวาจะเป็นที่สิงสถิตย์ของชุดปฐมพยาบาลซึ่งคงไม่มีใครอยากใช้ แต่มีเผื่อไว้มันก็ดี
เป็นถุงๆ แต่ไม่ได้เปิดดูเลยบอกไม่ได้ว่าให้อะไรมาบ้าง น่าจะพวก ยาห้ามเลือด ผ้าก๊อซ ไรประมาณนี้
อุปกรณ์เปลี่ยนยางกรณียางแบน ที่ประทับใจคือมีถุงมือมาให้ด้วย มือจะได้ไม่เลอะ ช่างคิดดีจริงๆ


ยางเป็นของ Continental มีเขียนไว้ที่ยางด้วยว่า Temporary use only สงสัยออกแบบมาเป็นยางอะไหล่โดยเฉพาะ
แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 01:21:43
ด้านซ้ายเป็นรูกุญแจไว้เปิดยามฉุก เฉินเช่นถ่านรีโมทหมดเป็นต้น ส่วนข้างๆไฟส่องทะเบียนเป็นที่ไว้ใส่กล้องมองหลัง ซึ่งผมไม่ได้สั่งมาเพราะมันต้องมากับระบบ COMAND ที่ราคาเพิ่มอีก 2500 ปอนด์

ผมเลยสั่ง Video Interface กับกล้องมองหลังของ Pioneer มาแล้ว รอเดินทางมาจากเมกา เดี๋ยวค่อยเอาไปติดทีหลังในราคาไม่ถึง 1 ใน 10
ฟท้ายยามค่ำคืน ที่มีหลายๆคนบอกว่า Sexy มากกกกกก
อีกซักรูป
ความคิดเห็นที่ 58  
อันนี้ตั้งใจจะให้ดูว่าไฟส่องทะเบียนก็เป็น LED สีขาวนะ ไม่ต้องเสียตังค์ไปเปลี่ยนให้เปลืองเงิน

ฟเลี้ยวเป็นวงครับ LED อีกเหมือนกัน
ปิดกระโปรงดูดีกว่า


เครื่อง 4 สูบเรียง 2,143 cc Turbo 2 ตัว ทำงานเรียงกันเพื่อได้กำลังทุกช่วง โดยสามารถสร้าง Torque ขนาด 500 Nm ได้ตั้งแต่ 1600 รอบ ให้กำลังสูงสุด 204PS อัตราการกินน้ำมัน 5.3 ลิตรต่อ100 กิโล หรือ 18.9 กิโลลิตร ซึ่งผมวิ่งทางไกลเฉลี่ย 120 ก็ได้ประมาณ 17 กิโลลิตรซึ่งถือว่าโอเคเลยครับ ประหยัดมากทีเดียว
มาตรวจภายในกันดีกว่าครับ

คันนี้ภายในสี Porcelain (สีครีมขาว) เป็นหนังแท้ครับ แต่ไม่ใช่ Nappa ที่นิ่มละมุลก้น

Trim ภายในเป็น Option Piano Black ครับ ปกติจะมากับลาย Black Ash เป็นสีดำมีลายเทาๆ Piano Black ต้องจ่ายเพิ่มนิดหน่อยแต่ดูหรูหรากว่าครับ

สำหรับ Airbag คันนี้มีทั้งหมด 8 ใบ ด้านหน้า 2 ใบ เข่า 2 ใบ ม่านซ้ายขวา 2 ใบ ปีกเบาะด้านหน้า 2 ใบ

Option เต็ม Max จะสามารถเพิ่ม Airbag ด้านข้างด้านหลังได้อีก 2 ใบ แต่ต้องสั่งเพิ่มครับ

พวงมาลับของ AMG Sport Package จะเป็นแบบท้ายตัดเพื่อความสปอร์ต
แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 12:39:52
แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 12:18:27
บาะนั่งด้านหน้า ใหญ่ อวบ นั่งนิ่มสบาย กว่ารุ่นก่อนๆ ผมจำได้ว่า SL R129 เบาะแข็งมากกกกกก นั่งขับนานๆแล้วปวดหลัง คันนี้ไม่ปวดครับ ขับไปขอนแก่นก็ยังสบายๆ
Option: Multi Contour Front Seats สามารถปรับ Lumber Support โดยภายในเบาะจะเป็นถุงลม สามารถปรับให้เข้ากับสรีระของหลังเราได้ โดยปรับได้ 4 อย่างคือ

1. ดันน่อง
2. ปีกข้างให้โอบกระชับ
3. ดันหลังส่วนล่าง
4. ดันหลังส่วนบน

แต่ นี่ยังไม่ใช่ Top of the line เพราะจะมีเบาะ Contour อีกแบบคือ Dynamic Contour Front Seats ซึ่งจะมีระบบนวด และ ปรับปีกเบาะตามการเลี้ยวเพื่อให้ตัวไม่ลื่นไถลทำให้ควบคุมรถได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนั้นยังมี Option เบาะลมร้อนเย็น ที่เบาะจะเป็นรูๆ มีลมมาเป่าก้นกับหลัง เหมือน Camry น่ะครับ ซึ่งคันนี้ไม่มี
พนักพิงเป็นระบบ Neck Pro ถ้ารถชนมันจะดันมารอรับหัวที่เด้งกลับมา ป้องกันคอหัก
คันนี้มี Memory Package ซึ่งจะ Memory ตำแหน่งเบาะ ความสูงต่ำ&ใกล้ไกลของพวงมาลัย ตำแหน่งมุมมองของกระจกมองข้าง ได้ 3 ตำแหน่ง เผื่อเวียนเปลี่ยนกันขับจะได้ไม่ต้องมานั่งปรับทุกครั้ง


พอมี ระบบ Memory Package มันจะเพิ่มการเข้าออกแบบ Easy Entry คือจะยกพวงมาลัยขึ้นทุกครั้ง ซึ่งจะเหมาะมากกับสาวร่างยักษ์เพื่อยกคากิออกจากรถ เพราะปกติผู้หญิงมันจะนั่งชิดพวงมาลัยกว่าผู้ชาย
มีปุ่มล๊อค & เปิดล๊อคประตู และมีลำโพง Tweeter ที่หูช้างครับ คันนี้ไม่มี Harman Kardon นะครับ เพราะลองฟังแล้วเสียงไม่ได้ดีเลิศ ไม่คุ้มกับอีก 700 ปอนด์ที่ต้องจ่ายเลย
แผงควบคุมที่ประตู ถ้ากดปุ่มเลือกกระจกด้านซ้าย เวลาถอยหลังกระจกทางซ้ายจะปรับลดลงเพื่อมองมุมต่ำ กันถอยขูดฟุตบาท ถ้าเลือกด้านขวา ถอยหลังมันจะไม่ปรับลงครับ

ปุ่มตรงกลางไว้สั่งพับกระจก ซึ่งคันนี้มี Option ให้เลือกพับเองทุกครั้งที่กดรีโมตล๊อคประตูก็ได้ครับ

สำหรับปุ่มปรับกระจก มี 2 จังหวะ กดขึ้นลง Manual กับขึ้นลง Auto คือขึ้นลงจนสุดเองก็ได้

ปุ่มสุดท้ายไว้ล๊อคกระจกครับ
มี Moonroof มาหนึ่งบาน ที่ไม่มี Panoramic Glass roof น่าจะเป็นเพราะหลังคาลาดเอียงกว่า E-Class เลยทำได้แค่ Moonroof เฉยๆ
คอนโซลกลางเป็นหนังแยกเปิดซ้าย-ขวา ข้างในเป็นที่อยู่ของช่องเก็บของ, พอร์ทต่อ Ipod, USB, AUX และ ไฟ 12V


ปุ่มกลมๆเป็นตัวควบคุม Function ต่างๆที่จอครับ เหมือน i-drive ของ BMW ครับ


ข้างๆปุ่มกลมๆจะมีสิตซ์เลือกโหมดต่างๆ E-S-M โดย E-Economy, S-Sport, M-Manual ครับ
ต่อกับ Ipod แล้วเลือกเพลงได้โดยใช้ปุ่มกลมๆ โดยจะมา Display ทีจอทีวี แต่อ่านภาษาไทยไม่ได้นะครับ
อันนี้เป็น Interface อีก 2 แบบคือ USB และ mini RCA ครับ สำหรับต่อ AUX Input ครับ


จะใช้ก็ถอดสาย Ipod ออกแล้วเอาสายอันนี้เสียบแทนครับ
เริ่มจากวิทยุก่อนเลยนะครับ

คัน นี้เป็น Audio50 APS พร้อม 6 Disc CD/DVD Changer ในตัววิทยุ พอเลือก Option CD/DVD Changer มันจะเพิ่ม Function Voice Command เข้ามาครับ


วิทยุ รุ่นนี้จะมี Bluetooth สามารถต่อกับโทรศัพท์ แล้วสั่งงานด้วยเสียงได้ สามารถ Sync Phonebook มาที่รถได้ แต่ไม่แนะนำสำหรับคนที่มีกิ๊กเพราะเสียงมันจะออกลำโพงในรถนะครับ

ปุ่ม DISC เอไว้เลือกเล่น CD หรือ Media Interface พวก Ipod, USB, AUX ครับ

ปุ่ม NAVI เอาไว้ใช้งาน Navigator แต่ยังไม่มี Map Thai เลยยังใช้ไม่ได้

ปุ่ม SYS ไว้ดูอัตราการกินน้ำมันเป็นกราฟ Real Time ครับ


มาดูปุ่มตรงกลางบ้าง

ปุ่ม ECO คือรถจะดับเครื่องเองตอนติดไฟแดง ได้แรงบรรดาลใจมาจากรถตุ๊กๆตอนคนออกแบบระบบเครื่องมาเที่ยวเมืองไทย

ปุ่มทางขวาไว้ปิดเซนเซอร์รอบรถ เวลาจอดแล้วรำคาญมอไซวิ่งมาใกล้ๆแล้วร้องตลอด

ปุ่มทางซ้ายของ Emergency Light คือปุ่มเปิด-ปิดม่านหลัง (เป็น Option)


สำหรับ ระบบแอร์ เป็น Auto แยกซ้าย-ขวา 2 Zone ครับ เป็น Standard ครับ ถ้าอยากไฮโซ จะมีแบบ 3 Zone คือปรับอุณหภูมิคนนั่งข้างหลังเป็น Option ครับ แต่ผมไม่เอา เพราะข้างหลังไม่ค่อยมีคนนั่งอยู่แล้ว แถมเรื่องไรต้องไปเสียเงินเพื่อ Please คนนั่งข้างหลังด้วยหล่ะ ชิชิ
ก๊ะเก็บของจุกจิกด้านหน้าไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่ แต่พอจะซุกซ่อนเงินได้สำหรับคนที่ภรรยาชอบควบคุมค่าใช้จ่าย
ปุ่มกดใช้งาน Voice Command ถ้าเป็นเครื่องเสียง Audio50 แต่ไม่ได้เลือก Option CD/DVD Changer จะใช้งานระบบนี้ไม่ได้นะครับ

ปรับเพิ่ม-ลดเสียง ตัดเสียง กดรับ กดวางโทรศัพท์ ได้ที่พวงมาลัยครับ
แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 14:48:23
ด้านขวาของพวงมาลัยเป็นเกียร์ กับ Paddle Shift เลื่อนเกียร์ขึ้นครับ
เกียร์มือเหมือนรถตู้ แต่เวลาจะเข้าเกียร์ D หรือ R จะต้องดึงลงหรือดันขึ้นจนสุด (เหมือน 2 ขยัก) ถ้าจะเข้าเกียร์ P ก็แค่กดปุ่มข้างๆ ถ้าเปิดประตูมันจะเปลี่ยนมา P ให้อัตโนมัติ แล้วถ้าจะดึงมาเกียร์ D หรือ R ก็ต้องเหยียบเบรคก่อนเสมอ แล้วก็จอดขวางแล้วทำเป็นเกียร์ว่างให้เข็น(ยัง)ไม่ได้
แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 18:22:59
ขณะรถติด เหยียบเบรคลงไปแล้วย้ำอีกทีมันจะเข้า Mode HOLD คือมันจะเบรคค้างไว้ เราไม่ต้องกดเบรคค้างให้เมื่อย ถอนเท้ามากระดิกเล่นได้ พอรถเคลื่อนก็แค่เหยียบคันเร่งปกติก็จะออกจาก Mode นี้


รูปแก้ว กาแฟคือเปิดใช้ Mode Attention Assist มันจะดูการขับ การหักพวงมาลัย การเหยียบคันเร่งแล้วเอามาประมวลว่าคนขับเหนื่อยหรือมีอาการหลับในหรือไม่ มันจะสั่นเตือนมาที่พวงมาลัย พร้อมกับเตือนที่หน้าจอให้พักครับ


รูป ไฟแล้วมี A คือเปิดใช้ Mode Intelligence Lighting ไฟจะเลี้ยวตามพวงมาลัย ถึง 4 แยก ถ้าเลี้ยวซ้ายมันจะฉายเพิ่มมุมมองด้านนั้น เวลาจะจอด เปิดไฟเลี้ยวด้านไหน จะฉายเพิ่มมุมมองด้านนั้น รวมถึงเปิดไฟสูงเองเมื่ออยู่ที่มืดสนิทหรือวิ่งใน Highway ที่ไม่มีรถสวนหรือรถอยู่ข้างหน้า
ภายในตอนกลางคืน หลากสีครับ
อันนี้เป็นกราฟ Consumption แบบ Real time กดปุ่ม "Sys" ที่คอนโซลกลางแล้วเลือก Consumption ได้เลยครับ


คันนี้ใช้เครื่อง Star แก้ทำเป็น
1. km/l แล้ว
2. Recirculate ทีเดียวค้างไปตลอดแบบ BMW ไม่ใช่แบบ Benz ที่ทำงานแค่ 30 นาทีก็ต้องคอยกดใหม่
3. มีโชว์ว่าขณะนี้พัดลมทำงานอยู่เบอร์ไหนแม้ตอนกดปุ่ม Auto
4.ยกเลิกฟังก์ชั่นการเป่าลมขึ้นกระจกตอนเปิดแอร์แรงๆ เพราะเมืองไทยไม่มีอากาศหนาวให้กระจกหน้าเป็นฝ้า
สวิตซ์ไฟ ไม่มีปุ่มเปิดปิดนะครับ มีแต่ Auto เปิดไฟตัดหมอกหลัง ไฟตัดหมอกหน้า และไฟช่วยจอด


P ข้างล่างเอาไว้ปลดเบรคมือ(เบรคเท้า) ครับ จะเป็นแป้นเล็กๆให้เหยียบอยู่ข้างๆแป้นเบรคปกติครับ
แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 15:19:48
มาดูด้านหลังกันบ้าง มีแค่ 2 ที่นั่งครับ เพราะมีคอนโซลตรงกลางขวางกั้นไว้ ฉะนั้นเป็นรถที่ไม่เหมาะจะเอามาใช้เป็นโรงแรมเคลื่อนที่ครับ


คน นั่งข้างหลังถ้าสูงเกิน 180 จะเริ่มรู้สึกอึดอัดเพราะหลังคาค่อนข้างลาดเอียง จะรู้สึกว่าหัวจะชน แถมถ้าทำผมตั้งๆแบบวัยรุ่นก็จะมีเฉี่ยวๆครับ
ช่องระหว่างเบาะเป็นที่เก็บของ ช่องด้านหน้ามีที่ใส่แก้ว กับช่องไฟ 12V ไว้ต่ออุปกรณ์ต่างๆ แอร์ปรับอุณหภูมิไม่ได้ ทำได้แค่เปิด หรี่ หรือปิดแอร์ครับ
เปิดฝาปิดแล้วเป็นแบบนี้ครับ ใส่ของได้เยอะทีเดียว
ที่ท้าวแขนเปิดใส่ของ กับ ที่ใส่แก้วเพิ่มได้อีกเผื่ออยากินน้ำหลายอย่าง
ไฟเหนือหัวเอาไว้อ่านหนังสือ ส่วนแท่งๆข้างหลังไว้บอกระยะข้างหลังเอาไว้มองผ่านกระจกหลังเวลาถอย จะเป็นขีดๆเหมือนข้างหน้าครับ
หมดแล้วครับสำหรับภายนอกและภายใน เดี๋ยวไว้ผมมาพูดถึง Option ต่างๆ รวมถึง ข้อดี & ข้อเสีย ของรถคันนี้อีกทีนะครับ ตลาดจะปิดแล้วขอไปลุ้นอีกหน่อยครับ

แครดิตจากคุณ : coolknott 
และเว็บ pantip ที่ให้ทดลองบล้อค

1 ความคิดเห็น: